เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ เราพยายามแสวงหาสัจธรรมกัน เราแสวงหาสัจธรรมกัน คนเรามีเกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตาย สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด เราอยากให้คนอื่นเป็นสุขๆ ไง แล้วเราจะมีความสุขไหม ถ้าเราจะมีความสุข ความสุขมันคืออะไร ทั้งๆ ที่เราปรารถนาความสุข แต่เรายังตะครุบหาความสุขกันไม่ถูกที่ไง
ถ้าความสุขทางโลกๆ ความสุขทางโลกเป็นของชั่วคราวเท่านั้น ถ้าเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเห็นสัจจะความจริงแล้ว ความสุขจริงๆ มันไม่มี มันมีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป ความทุกข์มันดับไปแล้ว โอ้โฮ! สุขมาก สุขมาก สุขมากไง ถ้าความสุขมันอยู่กับเราๆ เห็นไหม
ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน สอนถึงการประพฤติปฏิบัติ ข้ามพ้นทั้งความสุขทั้งความทุกข์ ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ข้ามพ้นทั้งหมดๆ การข้ามพ้นทั้งหมด เราคิดดีไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดี คุณงามความดีมันเป็นทางเดินนะ มรรคนี่เป็นทางเดิน อาศัยคุณงามความดีของเรา ถ้าไม่อาศัยคุณงามความดีของเรานะ ถ้าความดีของเรามันเป็นกุศล ถ้าความชั่วของเราเป็นบาปอกุศล อกุศลน่ะ อกุศลมันจะทำให้เกิดกุศลได้อย่างไรล่ะ
เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติกันน่ะ เราจะหาแต่คุณงามความดีของเรา ถ้าคุณงามความดีของเรา ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่น มันเป็นสมุทัยๆ สมุทัยคือตัณหา ความดี ความดีเราแสวงหานั่นน่ะ แต่เรามียึดมั่นถือมั่นว่าความดีของเราๆ
แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ทั้งดีและชั่ว มันทั้งดีและชั่ว มันสมดุลของมัน มันข้ามพ้นไปหมดเลย ข้ามพ้นไปหมดเลย เห็นไหม ถ้าเราเห็นสัจจะความจริงในใจของเรา เราจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้นะ สิ่งที่มันจะรุนแรงมาขนาดไหน เราก็ทำใจของเราได้ไง
ดูสิ ตอนนี้ภัยพิบัติๆ เวลาแผ่นดินไหวๆ นะ มันไหวตอนตี ๓ ตอนตี ๓ คนนอนอยู่นะ คนหลับใหลอยู่ ถ้าคนไม่รู้ตัวก็ตายไปเลย แต่คนรู้ตัว เวลาคนเขาจะไปช่วยเหลือกัน เวลาภัยพิบัติ สิ่งที่บรรเทาสาธารณภัยเข้าไปไม่ถึง ได้ยินเสียงร้องโอดโอยนะ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนะ เรามีแต่มือเปล่าๆ มันเศร้าใจไง มันเศร้าใจๆ นี่ไง เวลาภัยพิบัติมันมา เวลาเกิดภัยพิบัติขึ้นมา เราอยู่ส่วนไหน เราเข้าใจในส่วนไหน อันนี้ภัยพิบัติที่เราเห็น เราเห็นนี้เป็นคติเตือนใจไง
ดูสิ คนมาจากไหนก็แล้วแต่ หลากหลายมาก ขึ้นเครื่องบินลำเดียวกันแล้วก็ไปตกตายทั้งลำเลย มันมาจากไหนล่ะ คน กรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนเราเกิดมามีเวรมีกรรมทั้งนั้นน่ะ นี่กรรมมันให้ผลๆ แล้วกรรมมันให้ผล มันมาจากทั่วโลกเลยนะ มาขึ้นเครื่องบินลำเดียวกันน่ะ มันทำอะไรมา ทำไมมันถึงมาพร้อมกันอย่างนั้นไง
สิ่งที่ทำมาๆ เวลาทำด้วยกัน แต่เวลาจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พอจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะต่างคนต่างไป แตกกระสานซ่านเซ็นกันไป แต่ถึงเวลาแล้ว ถ้ามันเป็นของมัน นั่นน่ะเวลากรรมของมัน มันดลใจๆ คนเรามันซื้อตั๋วแล้วนะ จะขึ้นเครื่องบินอยู่แล้ว มีคนมาขอแลก ขอแลกให้ออกไปก่อน ไอ้คนที่มาขอแลกก็ไปตายแทน ทั้งๆ ที่เขานะ ถ้าใครคิดถึงอย่างนี้แล้วมันเสียวนะ มันเสียว เราเกือบไปแล้ว ถ้าขึ้นเครื่องบินไปลำนี้ก็ตกทั้งลำ ทำไมมีคนมาขอแลกบัตร มีความจำเป็นมาก มีความจำเป็นมาก ขอไปก่อนนะ ให้เงินให้ทองอีกต่างหาก ให้เงินซื้อชีวิต เขาซื้ออุบัติเหตุไปต่างหาก
นั้นเวลากรรมมันจำแนกต่างๆ กัน มันเป็นนามธรรมก็มี มันเป็นวัตถุก็มี สิ่งที่เป็นวัตถุ เห็นไหม ดูสิ เวลากาม วัตถุกาม วัตถุกามก็เป็นสิ่งที่เราชอบ เราต้องการปรารถนา เวลากิเลสกาม กิเลสกามมันก็สิ่งที่แสวงหาของมันไป
สิ่งที่เกิดขึ้นๆ มา ถ้าเราศึกษา ศึกษาแล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นมา มันสะเทือนใจนะ มันสะเทือนใจเพราะอะไร เพราะว่าตัวมันเป็นแบบนี้ เวลาชื่อขึ้นมา ความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งต่างๆ ใครๆ ก็ไม่ต้องการๆ สิ่งที่เราไม่ต้องการๆ แต่เวลาเกิดกับเรา เกิดขึ้นมา เราไม่รู้ตัวเลย สิ่งที่เป็นโรคเป็นภัย สิ่งที่เป็นสารพิษ เราก็ไม่เอาเข้ามาในร่างกายเราใช่ไหม สิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี เราไม่ต้องการทั้งนั้น แต่เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดกับใจเรา มันเป็นกับใจเรา เราไม่รู้ตัว เราไม่รู้ว่ามันอยู่กับเรา แล้วเราชอบมันอีกต่างหาก ทำร่วมไปกับมันด้วยความเพลิดเพลิน ทำไปกับมันด้วยความพอใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดี แต่เวลามันเกิดกับเรา เราไม่รู้ เวลาเกิดกับเรา เราไม่รู้เท่าทันมันไง ถ้าไม่รู้เท่าทันมัน สิ่งนี้ที่เราไม่รู้เท่าทันมันถึงได้สร้างเวรสร้างกรรมอยู่นี่ไง
ถ้ามันสร้างเวรสร้างกรรมขึ้นมา สิ่งที่คุณงามความดีๆ มันเป็นความดีทางโลกนะ ทางโลกก็ทำได้แค่นั้นน่ะ แต่เวลาเราเห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระๆ เราจะประพฤติปฏิบัติกัน ทำใจของเราให้มันสว่างไสวก่อน คำว่า “สว่างไสว” คือให้มีดวงตาเห็นธรรมๆ ดวงใจเห็นธรรมๆ ถ้าดวงใจ ใจมันสงบเข้ามาแล้วมันเห็นการกระทำของมัน จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง จิตสงบแล้ว จิตสงบแล้ว
จิตถ้าไม่สงบ ไม่สงบก็นี่ไง ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นสิ่งไม่ดีๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่มันเกิดกับเรา ไปกับมันหมดเลย มันไม่ดี ทำไมไปกับมันล่ะ มันไม่ดี ทำไมเป็นเราล่ะ แล้วเราก็ภูมิใจทำด้วยนะ นี่ความลุ่มหลงๆ ถ้ามันไม่ลุ่มหลงมันก็ต้องกระจ่างแจ้งแล้วสิ ที่มันไม่กระจ่างแจ้งก็มาลุ่มหลงไปกับมันไง ถ้าลุ่มหลงไปกับมัน ทำไมเราพอใจไปกับมัน พอใจไปกับมันล่ะ ทั้งๆ ที่เพราะความไม่รู้ ไม่รู้ คำว่า “ไม่รู้” เพราะเรายังไม่รู้นะ
แต่ถ้าพอมันรู้ขึ้นมาน่ะ ทุกคนจะบอก โอ้โฮ! มันละเอียดมาก ละเอียดมากเพราะอะไร เพราะว่าสติปัญญาเราไม่ทัน แต่ถ้าจิตมันสงบไป มันไปรู้ไปเห็นของมัน มันยิ่งละเอียดกว่านั้นๆ สิ่งที่ละเอียดกว่านี้ยังมีอยู่ เห็นไหม เวลาสวดมนต์ สิ่งที่ดีกว่านี้ สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราพยายามจะทำคุณงามความดีของเรา แล้วถ้าคุณงามความดีของเรานะ ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของคน นี่สุดยอดๆ แล้ว เราเป็นคนดีแล้ว เราทำเต็มที่ของเราแล้ว ทำเต็มที่ มันยังไปได้อีกๆ คำว่า “ไปได้อีก” มันอยู่ที่วาสนาแล้ว
ทีนี้คำว่า “วาสนา” วาสนาของคน เวลาบอกว่าวาสนา เราก็ยกให้ ยกให้เป็นสิ่งที่เป็นอดีตมาไง สิ่งที่เป็นอดีตมา มันยกให้ แล้วเวลาเราทำอย่างนี้ เราก็มาน้อยเนื้อต่ำใจกันไป วาสนาก็ความเกิดเรานี่แหละ วาสนาก็ความรู้สึกนึกคิดเรานี่แหละ ถ้าวาสนามันมีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะขวนขวายของมัน แล้วขวนขวายขึ้นมา การกระทำนั้น ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกน่ะ มันปรากฏขึ้นกลางหัวใจ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คือมันรู้
ดูสิ ทางโลกมีการศึกษา ศึกษาเป็นภาคทฤษฎี ทฤษฎีแล้วก็ต้องฝึกงาน ฝึกงานเพื่อให้เป็นงาน คนเป็นงานทำงานแล้วหางานใหม่ มีประสบการณ์กี่ปี ถ้ามีประสบการณ์มาก ผลตอบแทนก็มากขึ้น มากขึ้นเพราะประสบการณ์อันนั้นไง นั่นประสบการณ์ทางโลกนะ
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบแล้ว สงบแล้วมันเสื่อม เสื่อมแล้วสงบ นี่ก็ประสบการณ์ เวลาจิตมันสงบแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง นี่ก็ประสบการณ์ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ถ้ามันรวมลง รวมลงคือสติปัญญามันปล่อยวางได้ ก็เป็นประสบการณ์ ประสบการณ์ทั้งนั้นน่ะ แต่ประสบการณ์ ประสบการณ์มันยังไม่จบไง
ถ้าเวลามันจบขึ้นมา เวลามันขาด เวลามันขาดมันเป็นอกุปปธรรมๆ นั่นก็ประสบการณ์ ประสบการณ์อย่างนี้มันเป็นอฐานะ อฐานะที่เอามาอ้างอิง อฐานะที่มันจะไม่เปลี่ยนแปลง อฐานะที่จะยกตัวอย่างได้ อฐานะๆ พออฐานะ มันก็เลยพ้นจาก สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาไง
แต่เวลาบอกว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน พระพุทธศาสนาสอน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
เป็นอนัตตามันจับต้องสิ่งใดล่ะ เพราะเป็นอนัตตา แต่สิ่งกระบวนการของมัน มันเป็นอนัตตาจริงไหม จริง แต่กระบวนการที่เป็นอนัตตามันละเอียดขึ้น มันละเอียดขึ้น มันดีขึ้น ดีงามขึ้น ชัดเจนขึ้น การกระทำมันชัดเจนของมันขึ้น การชัดเจนขึ้น นี่ไง ประสบการณ์ๆ ประสบการณ์ในการปฏิบัติไง
ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการๆ สิ่งที่ได้ฟังธรรมนี้แสนยากๆ มันก็มีคุณค่ามาก เวลาศึกษาทฤษฎี ภาคปริยัติมีค่ามาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ การศึกษานี้สำคัญๆ แต่ศึกษาแล้วไม่ปฏิบัติ มันศึกษามาๆ ถ้าไม่รู้ก็ว่ารู้ รู้อะไร รู้ธรรมะ แล้วใครรู้ล่ะ อ้าว! ใครรู้ล่ะ ถ้าจิตมันรู้ จิตมันรู้ ความรู้สึกเรารู้ ความรู้สึกเรารู้ แล้วตัวจิตล่ะ ถ้ารู้แล้วทำไมไม่เท่าทันตัวเองล่ะ ถ้ารู้แล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นเราไปทำไม สิ่งที่มันเป็นเราๆ เราไปกับมันทำไม
แต่เวลาสิ่งที่เป็นจิตใจที่ใสสะอาดแล้ว สิ่งที่มันจะรุนแรงขนาดไหน มันรุนแรงขนาดไหนก็รุนแรงด้วยธรรม ถ้ามันจะอ้อยอิ่งขนาดไหนมันก็อ้อยอิ่งด้วยธรรมทั้งนั้นน่ะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ พระเวลาอยู่กับท่าน นี่ไง ฟ้าร้องแล้ว ฝนจะตกแล้ว พอฝนตกขึ้นมามันชุ่มฉ่ำแล้วๆ เวลาชุ่มฉ่ำแล้ว พระที่อยู่ด้วยกันเขาบอกว่าทำไมท่านรุนแรง ท่านพูดจารุนแรงๆ
รุนแรง ไอ้คนที่เขาต้องการของเขาน่ะมันชุ่มฉ่ำ มันชื่นบานน่ะ นี่ไง แต่คนที่จิตใจเป็นธรรมๆ มันฟังแล้วมันชื่นบานใช่ไหม เพราะนั่นน่ะคือเกร็ด นั่นน่ะคือวิธีการ นั่นล่ะคือรู้เท่าความโลก ความโกรธ ความหลง
ไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นเรา เราไม่เข้าใจ เราไม่เท่าทันมัน ท่านให้อาวุธ ท่านให้เกร็ดให้วิธีการของเราน่ะ ไอ้คนที่ประพฤติปฏิบัติ ไอ้ที่คนเขาขวนขวายอยู่ แหม! มันสุดยอด มันสุดยอด ไอ้คนที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้นะ โอ้โฮ! โอ้โฮ! มันมองเป็นกิเลสไปหมดไง
กิริยามันกิริยาเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ กิริยาทางโลก กิริยาทางธรรมนะ แต่กิริยาทางธรรมมันไม่มีสมุทัย ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ละเอียงเพราะชัง ไม่ลำเอียงเพราะใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นสัจจะ มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ๆ แต่มันมีอะไรล่ะ มันมีกิเลส กิเลสมันอนุสัย มันนอนเนื่องมาด้วย อนุสัยๆ ความคิดของเรามันมีตัวตนเรานอนเนื่องมาตลอด ความคิดเราๆ นี่แหละ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็เป็นสัญญา มันก็เป็นข้อมูลไว้ในหัวใจ เวลามันคิดขึ้นมามันคิดพาดพิงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันเป็นเชื้อไขไง
แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราเป็นความจริงๆ ของเรา มันจะเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเกิดขึ้นกับเราเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นอำนาจวาสนาของใครล่ะ เป็นอำนาจวาสนาของธรรม เห็นไหม
ดูสิ ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ในบรรดาสัตว์สองเท้า ในบรรดาสัตว์สองเท้าน่ะ แล้วเรา เราเกิดมาเราก็เป็นสัตว์สองเท้า ถ้าสัตว์สองเท้า ในการประพฤติปฏิบัติของเราทำให้มันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา มนุษย์ มนุษย์สามารถทำให้จิตใจผ่องแผ้วได้
มนุษย์ ดูสิ ลัทธิศาสนาอื่นเขาอ้อนวอนขอทั้งนั้นน่ะ แล้วแต่พระเจ้าจะตัดสิน ความจริงเราเป็นคนทำอยู่นี่ ใครตัดสิน ถ้าคนอื่นตัดสินให้เรา คนอื่นพยากรณ์ให้เรา เราจะเป็นไปได้ไหม
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกเวลาเกิดนิมิตขึ้นมาว่าอีก ๙ ปี เราปฏิบัติ ๙ ปีก็จะสำเร็จ เวลา ๙ ปีไปแล้ว ๙ ปี มันฝังใจนะ แล้วคนอื่นมาบอกว่าเราจะสำเร็จ เราจะไม่สำเร็จ มันเป็นไปได้หรือถ้าเราไม่ได้ทำ ใครไปบอกเลย บอกว่าเราจะสำเร็จพรุ่งนี้ แล้วเราก็นอนสบายเลย พรุ่งนี้สำเร็จไหม เป็นไปไม่ได้เลย
ฉะนั้น สิ่งที่จะเป็นจริงๆ มันเป็นจริงจากมรรคจากผลของเรา ในบรรดาสัตว์สองเท้าๆ เรามนุษย์ๆ มนุษย์เป็นคนกระทำขึ้นมา มนุษย์มีสติ ฝึกหัดดัดแปลง เกิดสมาธิ เกิดสมาธิ ความร่มเย็นเป็นสุข เกิดสมาธิคือตัวตนของเรานั่นน่ะ สมาธิคือตัวตนนะ สมาธิคือจะว่าเป็นกิเลสนะ
สมาธิมันเป็นพื้นฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานมันเกิดบนไหนล่ะ งานของเราเกิดบนความคิด มันก็เหมือนโลกไง คิดงาน เวลานักบริหารเขาคิดงานของเขา นี่เขาคิด มันเกิดบนอารมณ์ความรู้สึก เกิดจากการวิเคราะห์วิจัยของเขา นั่นคือความคิด นี่คิดงาน แล้วถ้าเราใช้ความคิดมันก็เป็นคิดงาน เวลาเราพุทโธๆ ก็คิดทั้งนั้นน่ะ ก็ความคิดทั้งนั้นน่ะ ความคิดทั้งนั้นน่ะ มันเป็นสัญญาอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ แต่พุทโธๆ จนพุทโธไม่ได้ ถ้าพูดภาษาเราก็จนมันคิดไม่ได้ ไอ้ตัวภพมันจะคิดไม่ได้เลย มันขยับไม่ได้เลย สัมมาสมาธิน่ะ
พอสัมมาสมาธิ พอมันคิดไม่ได้แล้ว ถ้ามันออกมาแล้ว ไอ้ตรงนั้นน่ะ ตรงนั้นน่ะเป็นตรงที่เกิด ตรงนั้นเป็นตัวต้นเหตุ แล้วตัวต้นเหตุ ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเกิดปัญญา ปัญญามันจะซักฟอกตรงนั้น
มันเป็นความคิดไหม มันเป็นสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง แต่มันเกิดบนสัมมาสมาธิ มันเกิดจากความสงบร่มเย็นอันนี้ไง ถ้ามันเกิดจากความสงบร่มเย็นอันนี้ สิ่งนี้ปัญญามันจะแตกต่างกัน มันเลยมีโลกียปัญญา ปัญญาที่โลกคิดงานๆ เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาแสวงหาผลประโยชน์ แสวงหาอาชีพ นี่โลกียปัญญา ปัญญาเพื่อโลก เพื่อโลกก็เพื่อตัวตนนี่ไง
ถ้าจิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วเป็นโลกุตตระ พ้นจากโลก ความคิดอย่างนี้ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน มันทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายที่เกิดความคิดน่ะ
ไอ้ความคิดมันเกิดดับอยู่แล้ว ความคิดมันส่งออก ความคิดมันก็เหมือนกับอากาศ มันอยู่ของมันอยู่อย่างนั้น นี่ส่งออก แล้วอากาศมันเกิดจากที่ไหนล่ะ ต้นไม้มันผลิตออกซิเจนขึ้นมา มันมีส่วนผสม อากาศเป็นส่วนผสมของอะไร ของก๊าซพิษ ของออกซิเจน ของต่างๆ แล้วนี่ล่ะ นี่ล่ะ
เวลาถ้ามันมีปัญญาขึ้นมามันจะย้อนกลับ ทวนกระแสกลับเข้ามา ถ้าปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นๆ เราจะเห็นโลกุตตรปัญญาเป็นอย่างไร แล้วถ้าปัญญาที่มันถอดมันถอน
นี่ไง ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็เป็นสัตว์สองเท้าเหมือนกัน มนุษย์ก็มีอำนาจวาสนาทำได้เหมือนกัน ถ้าทำได้เหมือนกัน มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนานะ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนามันไม่เชื่อ มันก็เป็นอารมณ์คนน่ะ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก แล้วเอาความรู้สึกมาคุยกัน แล้วความรู้สึกมันก็จินตนาการ มันก็ไปได้กว้างขวาง มันก็จินตนาการไปทั่ว นั่นจินตนาการทางโลกไง
แต่ถ้าเป็นธรรมะ มันจินตมยปัญญา แก้กิเลสไม่ได้ มันเป็นภาวนามยปัญญา แล้วถ้าภาวนามยปัญญา โลกุตตรธรรมๆ ถ้าใครไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่ถูก พูดไม่ได้ พูดอย่างไร จินตนาการอย่างไรก็จินตนาการไม่ถึง จินตนาการขนาดไหนก็ไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะผู้รู้เขามีไง
เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการ เวลาคุยธรรมะกันปากเปียกปากแฉะ ท่านบอกว่า ผู้รู้มีนะ ผู้รู้คือผู้ที่รู้แจ้งเขามี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้แจ้ง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก็รู้แจ้ง คนรู้แจ้งเขามี
ไอ้ที่พูดนั่นน่ะ ถ้าไม่รู้แจ้ง ยืมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพูด คนที่ยืมมาพูดมันทำไม่เป็น ทำไม่ได้ คนที่จะพูด คนที่เป็นแล้วได้ เขาพูดจากความเป็นจริงของเขา ถ้าพูดจากความเป็นจริงของเขา มันพูดเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน คนฟังรู้ คนเป็นรู้ คนไม่เป็นไม่รู้ ถ้าคนเป็นรู้ เห็นไหม ผู้รู้เขามี ผู้รู้เขามี ถ้าผู้รู้เขามี
หลวงตาท่านเตือนบ่อย พวกนักปราชญ์ ปราศจากไม่มีสิ่งใดเลยน่ะ เวลาพูด อู้ฮู! แตกฉานนั่นน่ะ ไร้สาระ ไร้สาระ ในภาคปฏิบัตินะ แต่ในทางวิชาการเขาส่งเสริมกันมาก ยอดเยี่ยมๆ ยอดเยี่ยมอย่างนั้นยอดเยี่ยมกระเทียมดอง เขาดองเข้าไปในไหไง ยอดเยี่ยมอย่างนั้นต้องเอาไปดองไว้ในไห เอาไว้ทำอาหาร
แต่ถ้ามันยอดเยี่ยมจริงๆ เหนือโลก โลกรู้กับเราไม่ได้หรอก โลกรู้กับเราไม่ได้ ไม่มีใครรู้กับเราได้ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ เวลาครูบาอาจารย์ไปเยี่ยมเยียนกัน นี่ผู้รู้ ผู้รู้อยู่ด้วยกัน เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการ หลวงตา ในกรรมฐานเราเชื่อมั่นกันว่าหลวงตาเป็นพระอรหันต์ เวลาท่านเทศน์จบแล้วท่านคุยกับหลวงปู่ลี “ลีเนาะๆ” นี่ไง ผู้รู้กับผู้รู้น่ะ ผู้รู้พูด คนรู้มันรู้ได้ ถ้าคนไม่รู้ มันรู้ไม่ได้ พูดอย่างไรก็ไม่รู้ ถ้าพูดอย่างไรก็ไม่รู้
แต่เราฝึกหัดของเรา เรามีครูบาอาจารย์ของเรา มีครูบาอาจารย์ ธมฺมสากจฺฉา เราถามท่าน ถามท่าน ธมฺมสากจฺฉา คือวิเคราะห์วิจัย คือแลกเปลี่ยนกัน ถ้าแลกเปลี่ยน ถ้าเราแลกเปลี่ยนแล้วมันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันนะ มันมีอยู่สองอย่าง ไม่อาจารย์ผิดก็เราผิด แต่ส่วนใหญ่แล้วเราบอกอาจารย์ผิด เราถูก ส่วนใหญ่จะบอกว่าอาจารย์ผิด
ก็ทำไปสิ ทำไปก่อน ใช่ เรายังไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจมันไปกันไม่ได้ แต่ถ้ามันถึงอันเดียวกันแล้วจบ
หลวงตาท่านบอกว่า แม่น้ำลำคลองทุกสายไหลลงสู่ทะเล แม่น้ำทั้งหมดไหลลงสู่ทะเล ถ้าแม่น้ำทุกสายไหลลงถึงทะเลแล้วจบ ทะเลนั้นมันเป็นเนื้อเดียวกันหมด นี่ไง ถ้าทำได้ทำจริง ทำจริงเป็นอย่างนั้น เห็นไหม
ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เราก็ได้เกิดเป็นสัตว์สองเท้า เราเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามีสติมีปัญญาของเรานะ หน้าที่การงานเราก็ทำของเรา คนเกิดมามันมีชีวิต ชีวิตต้องการอาหาร ชีวิตต้องการปัจจัย ๔ เราหล่อเลี้ยงชีวิตนี้ไว้ คนทุกข์คนยากหล่อเลี้ยงชีวิตไว้ หล่อเลี้ยงไว้ ทุกข์ยากมาก
แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ขึ้นมา หล่อเลี้ยงชีวิตนี้ไว้ แล้วหล่อเลี้ยงชีวิตนี้ไว้ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แค่อาหารเป็นคำข้าวสองสามคำก็ยังชีพได้แล้ว แล้วไม่แสวงหาสิ่งใดที่เกินกว่านั้น ถ้าไม่แสวงหาสิ่งใดที่เกินกว่านั้นนะ ชีวิตนี้นะ มันเรียบง่าย มันไม่ต้องไปวุ่นวายมาก แค่ข้าวสองคำ วันหนึ่งข้าวสองคำเท่านั้น ไม่ต้องการอะไรเลย เลี้ยงชีวิตไว้ทำไม เลี้ยงชีวิตไว้แสวงหาสัจจะความจริง ถ้าเราแสวงหาสัจจะความจริงในใจของเรา เห็นไหม
ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เราก็เป็นสัตว์สองเท้า เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฝากไว้กับพินัยกรรม แล้วเราก็จะค้นคว้าขวนขวายค้นหาของเรา ค้นหาขึ้นมาในใจของเรา ถ้าเราได้ธรรมะของเรา กับพินัยกรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันเดียวกัน เอวัง